วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แบบฝึกหัด(2)

แบบฝึกหัดบทที่ 5

1. จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ 
-การผลิต จัดเก็บ ประมวลผล ค้นหา และเผยแพร่ สารสนเทศโดยจัดให้มีระบบสารสนเทศ
                                                                                                             

2. การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลและต่อองค์การอย่างไร 

-ความสำคัญการจัดการสารสนเทศต่อบุคคล 
การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลในด้านการดำรงชีวิตประจำวัน การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพ ต่างๆ การจัดการสารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยการจัดทำฐานข้อมูลส่วนบุคคลรวบรวมทั้งข้อมูลการดำรงชีวิต การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพต่างๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน

-ความสำคัญการจัดการสารสนเทศต่อองค์การ 
         -ความสำคัญด้านการบริหารจัดการ

         -ความสำคัญด้านการดำเนินงาน

         -ความสำคัญด้านกฎหมาย

                                                                                                              

3. พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง 
แบ่งออกเป็น 2 ยุค ตามลักษณะการจัดเก็บสารสนเทศ ได้แก่ 
---การจัดการสารสนเทศโดยใช้มือ 
---การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์ 
                                                                                                              

4. จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมา อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง 
-ด้านการศึดษาการแยกหมวดหมูวิชา เนื้อของแต่ละวิชาออกจากกัน 
-การจัดการจักของในห้องให้เป็น หมวดหมู่
-ด้านการดูแลรักษาข้อมูล นิสิตจะทำการจัดเก็บไฟล์ไว้ใน USB DRIVE และทำสำเนาเก็บไว้ในที่ต่างๆ เช่น ใน One Drive , facebook เป็นต้น
                                                                                                              

แบบฝึกหัดบทที่ 6

1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?
1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
2. เทศโนโลยี
3. สารสนเทศ
4. พัฒนาการ

2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
1. ควบคุมเครื่องปรับอากาศ
2. ระบบการเรียนการสอนทางไกล
3. การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
4. การพยากรณ์อากาศ

3. การฝากถอนเงินผ่านเอทีเอ็ม (ATM) เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
1. ระบบอัตโนมัติ
2. เปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย
3. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
4. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
1. ระบบการโอนถ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
2. บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต
3. การติดต่อข้อมูลทางเครือข่าย
4. ถูกทุกข้อ

5. เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
1. การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
2. ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
3. การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ
4. การนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล

6. เครื่องมือที่สำคัญในการในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
1. เทคโนโลยีการสื่อสาร
2. สารสนเทศ
3. คอมพิวเตอร์
4. ถูกทุกข้อ

7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่อมผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ้มประสิทธิภาพในการทำงาน
2. เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่อนสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน หรือสอบถามผลสอบได้
3. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้บุคคลทุกระดับติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
4. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างที่พักอาศัยที่มีคุณภาพ

8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
1. เครื่องถ่ายเอกสาร
2. เครื่องโทรสาร
3. เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
4. โทรทัศน์ วิทยุ

9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ เทคโนโลยีสารสนเทศ?
1. เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินงานธุรกิจ
2. พัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล และการสื่อสาร
3. ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
4. จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น

10. ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
1. ตรวจสอบผลการลงทะเบียน ผลการสอบได้
2. สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ทั่วโลกได้
3. ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครู อาจารย์ หรือส่งงานได้ทุกที่
4. ถูกทุกข้อ
                                                                                                              

แบบฝึกหัดบทที่ 7

1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Firewall) คือ เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่
นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้น
จะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งานระหว่าง Network ต่าง ๆ
                                                                                                              

2. จงอธิบายคำศัพท์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm , virus computer, spy ware,
adware 

ตอบ Worm เป็นไวรัสประเภทหนึ่งที่ก่อกวน สามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ 
เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว และในระบบเครือข่ายเสียหายไวรัส วอร์ม นี้ปัจจุบันมีหลากหลายมาก มีการแพร่
กระจายของไวรัสได้รวดเร็วมาก ทั้งนี้เนื่องจากไวรัส วอร์ม จะสามารถแพร่กระจายผ่านทางอีเมล์ได้ ไม่ว่าจะเป็น Outlook Express หรือ Microsoft Outlook
                                                                                                              

3. ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง

ตอบ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Application viruses และ System viruses
                                                                                                              

4. ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ

1) สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk
หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถ
จะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูต
ได้ตามปกติเราก็สามารถใช้แผ่น emergency diskมาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำ
ให้บูตเครื่องได้ตามปกติ
2)ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจ
ของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน 
ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูล
ไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง 
3)เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้าง
โพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้
4)ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้ว
นำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสใน
แผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์
5)ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมาก
มายไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของ
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่า
นั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ
                                                                                                              

5. มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบัน ได้แก่


ตอบ 1. กฏหมายคุ้มครองข้องมูลส่วนบุคคล
        2. กฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
        3. กฏหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
        4. กฏหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูงทางอิเล็กทอนิกส์
        5. กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทอนิกส์
        6. กฏหมายการโอนเงินทางอิเล็กทอนิกส์
        7. กฏหมายโทลคมนาคม
        8. กฏหมายระหว่างประเทศ
        9. กฏหมายืั้เกี่ยวเนื่องกับระบบอินเตอร์เน็ต
       10. กฏหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์
                                                                                                              

แบบฝึกหัดบทที่ 8

1) “นาย A ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์
สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่
เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว C เมื่อนางสาว C ทราบเข้าก็เลยนำโปรแกรมนี้ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
      ตอบ ผิด คือ นาย และนางสาว ไม่ได้ทำการขออนุญาต นาย อย่างถูกกิจลักษณะ อาจทำให้นาย เสียหายได้ และผิดกฎหมาย คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) สาระของกฎหมายนี้มุ่งเน้นให้การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ
                                                                                                              

2) “นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตำราต่างๆ อีกทั้ง
รูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย K เป็นนักเรียนในระดับประถมปลายที่ทำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
      ตอบ ผิด เพราะ การที่เราทำงานรายงานส่งครูหรือส่งทางวิชาการหรือการทำงานใดๆหรือการcopy เราก็ต้องอ้างอิงถึงแหล่งที่มาเพราะมันเป็นการทำโดยถูกต้องการที่เราไปcopyงานมาโดยไม่นำแหล่งอ้างอิง มาก็เป็นการละเมิดหรือผิดเช่นกัน

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Vitamin D

Vitamin D

รู้จักกับวิตามินดี (Vitamin D)

ตามความหมายของพจนานุกรมและเว็บไซต์วิกิพีเดียหรือสารานุกรมเสรีบอกไว้ว่า วิตามินดี มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า CALCIFEROL หรือ ERGOSTEROL เป็นวิตามินที่มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน ช่วยเสริมสร้างแคลเซียมเสริมสร้างกระดูกและฟันให้มีการทำงานและงอกใหม่ตามปกติหากขาดวิตามินดีในระดับที่มากกว่าปกติจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีโอกาสเป็นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ในเด็กเรียกว่า Rickets ส่วนในผู้ใหญ่อย่างเราเรียกกันว่า osteomalacia คนเราทั้งหมดนั้นส่วนใหญ่ได้รับวิตามินดีทางแสงแดดสังเคราะห์ขึ้นมาด้วยร่างกายที่ชั้นไต้ผิวหนังของเราเอง และการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีเข้าไปส่วนมากจะมาจากพืชผัก ผลไม้แต่มีวิตามินดีเป็นส่วนน้อยน้อย ส่วนใหญ่จะมากจากสัตย์ เช่น น้ำมันตับปลา ไขมัน นม เนย ปลาทู ไข่แดง ปลาแซลมอน นอกจากนี้วิตามินดียังมีวิตามิดีแท้ๆ ที่มีลักษณะเป็นสีขาวแท้ไม่มีสิ่งใดเจือปน สามารถทนความร้อนได้สูงถึง 140 องศาเซลเซียส ละลายในไขมันไม่ละลายในน้ำ
วิตามินดี

ชนิด Vitamin D
1. วิตามินดี 2 (vitamin D2) หรือ ออร์โกแคลซิเฟอรอล (ergocalciferol) หรือ แคลซิฟีรอล (calciferor) ที่เปลี่ยนได้มาจากสารเออร์โกสเตอรอล (Ergosterol) ที่สัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต ในช่วงความถี่ 230 นาโนเมตร (nm) ซึ่งส่วนมากพบได้ในพืช และเมล็ดธััญพืช
2. วิตามินดี 3 หรือ โคเลแคลซิฟีรอล (Cholecalciferol) ในอาหารส่วนมากพบได้ในปลาชนิดต่างๆ และพบในเซลล์ของสัตว์ และมนุษย์ ที่ได้จากการเปลี่ยนของสาร 7 dehydrocholesterol ในผิวหนังหลังการสัมผัสแสงอัลตราไวโอเลตในช่วงความถี่ 275-300 นาโนเมตร (nm)

6 สัญญาณเตือนจากร่างกาย ได้เวลากิน Vitamin D

1. ปวดเมื่อยร่างกายเป็นประจำ
           โดยเฉพาะในหน้าหนาว และตอนเช้าที่ลุกออกจากเตียง หากคุณเป็นอีกคนที่รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว ทั้งกระดูก และกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ก็ฟันธงได้กว่า 80% เลยว่า ร่างกายกำลังขาดวิตามินดีนะจ๊ะ ดังนั้นควรอัพวิตามินดีให้ร่างกายด่วน

2. รู้สึกซึมเศร้า
         วิตามินดีมีส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารสื่อนำประสาทเซโรโธนิน (neurotransmitter serotonin) ซึ่งก็สอดคล้องกับการศึกษาทางการแพทย์เมื่อปี ค.ศ. 1998 ที่พิสูจน์มาแล้วว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ จะมีสภาวะทางอารมณ์ในเชิงบวก มากกว่ากลุ่มอาสาสมัครที่ไม่ได้รับวิตามินดีอย่างเหมาะสม

3. อายุขึ้นเลข 5
           เมื่อแก่ตัวลงผิวหนังความสามารถในการรับวิตามินดีของร่างกายก็จะด้อยประสิทธิภาพ พร้อมกันนั้นตับก็แปลงวิตามินดีจากอาหารที่เรากินเข้าไปได้น้อยลงด้วย นอกจากนี้ผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมักจะไม่ค่อยได้รับแสงแดด เพราะอยู่ในร่มเป็นส่วนใหญ่ โอกาสได้รับวิตามินดีเลยค่อนข้างน้อยตาม ดังนั้นอาจจะถึงเวลาต้องเสริมวิตามินในมื้ออาหารให้มากขึ้นกว่าปกติแล้ว

4. ผิวคล้ำดำง่ายกว่าเดิม
           แพทย์ได้เผยผลการศึกษาไว้ว่า แสงแดดรุนแรง ที่มีค่า SPF 30 สามารถลดประสิทธิภาพในการผลิตวิตามินดีของผิวได้มากถึง 97% ซึ่งก็หมายความว่า ผิวของเราจะต้านทานรังสียูวีได้น้อยลง ทำให้โดนแดดเผาจนผิวมีสีเข้มขึ้นอย่างง่ายดาย ดังนั้นใครที่รู้สึกว่าช่วงนี้ผิวพรรณหมองคล้ำดำง่ายผิดปกติ นั่นก็แสดงว่า ร่างกายส่งสัญญาณเตือนให้กินวิตามินเพิ่มขึ้นโดยเร็ว

5. เหงื่อเยอะจนสังเกตได้
          ถ้ารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายชักจะผลิตเหงื่อมากเกินไปแล้ว อาจจะไม่ได้เป็นเพราะอากาศร้อน หรือคุณเป็นไข้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากอาการเหงื่อแตกพลั่กเยอะขึ้นจนสังเกตได้อย่างนี้ แพทย์ก็บอกว่า มีแนวโน้มขาดวิตามินดีพอสมควรเลยทีเดียว และถ้าไปปรึกษาแพทย์ก็อาจจะได้รับการรักษาด้วยวิตามินดีเช่นกันจ้า

6. มีปัญหาช่องท้องบ่อย ๆ         แพทย์เคยชี้แจงไว้ว่า วิตามินดีมีส่วนช่วยให้ลำไส้ดูดซึมไขมันได้ดียิ่งขึ้น แต่เมื่อไรที่ร่างกายได้รับวิตามินดีน้อยลง การดูดซึมไขมันของลำไส้ก็อาจจะไม่สะดวกเหมือนที่เคย ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง บิดท้อง ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ และอาการที่เกี่ยวกับช่องท้องทั้งหมดได้ง่าย ๆ  ฉะนั้นกินวิตามินดีให้เพียงพอต่อร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน

สาเหตุร่างกายขาด Vitamin D
1. ผิวหนังสังเคราะห์วิตามินดีลดลง
– การดูดซึมรังสี ultraviolet B จากแสงแดดลดลงจากการใช้ครีมกันแดด รวมถึงผู้ที่มีสีผิวคล้ำ มีโอกาสทำให้ลดการสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดดได้น้อยลงเช่นกัน
– เซลล์ผิวหนังเสื่อมจากวัยชราที่มีสาร 7-dehydrocholesterol น้อยลง รวมถึงสาเหตุจากการทำ skin grafts
2. ภาวะโรค
– โรคบางอย่างมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุได้น้อยลง เช่น โรคท้องร่วง เป็นต้น
– โรคตับ และโรคไตวายเรื้อรังมีส่วนทำให้ร่างกายสร้าง 25-hydroxyvitamin D ไม่เพียงพอ
– โรคอ้วน มักเกิดการสะสมวิตามินดีในไขมัน ทำให้วิตามินดีที่สามารถดึงมาใช้ได้ลดลง
3. การใช้ยาบางชนิด
ยาบางชนิดมีผลขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุ เช่น ยากันชัก, ยารักษาโรคเอดส์ ยาที่ลดการดูดซึมไขมัน เป็นต้น
4. อาหาร
การรับประทานอาหารบางชนิดที่ไม่มีวิตามินดีหรือมีวิตามินดีน้อย มักเพิ่มความเสี่ยงต่อร่างกายขาดวิตามินดี เช่น อาหารจำพวกแป้ง และขนมปัง
ผลจากการขาด Vitamin D
1. ภาวะหัวใจล้มเหลว
หากร่างกายขาดวิตามินดีจะทำให้แคลเซียมในกระแสเลือดลดลง และกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โ์มนพาราไทรอยด์เพิ่มขึ้น เกิดภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปทำให้มีแคลเซียมในเลือดสูงขึ้นมากซึ่งจะส่งผลต่อการควบคุมความดันโลหิต ซึ่งมาจาก 2 สาเหตุ คือ
1.1 การขาดวิตามินดีมีส่วนทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว เนื่องจากการแลกเปลี่ยนแคลเซียมในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหัวใจมีความผิดปกติ และมีแคลเซียมอยู่น้อยมาก ส่งผลให้การทำงาน และการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลง
1.2 การขาดวิตามินดีทำให้กระตุ้นระบบเรนินแอนจิโอเทนซินฮอร์โมน และกระตุ้นให้มีการผลิตฮอร์โมนพาราธัยรอยด์สูงขึ้น ส่งผลต่อความดันโลหิตสูงขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้เกิดภาวะคั่งของน้ำ และเกลือแร่ในเนื้อเยื่อหัวใจ จนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวตามมา
2. การผิดรูป และภาวะกระดูกพรุน
การขาดวิตามินดีในวัยเด็กอาจส่งผลทำให้ร่างกายเจริญเติบโตผิดปกติ และกระดูกมีลักษณะผิดปกติ กระดูกเปราะบาง และแตกหักง่าย
การขาดวิตามินดีในวัยผู้ใหญ่จะทำให้เกิดภาวะกระดูกบาง และโรคกระดูกพรุน รวมถึงมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงตามมา

ประโยชน์ของวิตามินดี

  1. วิตามินดีช่วยเสริมการใช้แคลเซียม และฟอสฟอรัสซึ่งจำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  2. หากรับประทานร่วมกับ วิตามินเอ และ วิตามินซี จะช่วยป้องกันโรคหวัดได้
  3. ช่วยในการรักษาโรคเยื่อบุตาอักเสบ
  4. ช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ

คำแนะนำในการรับประทานวิตามินดี

  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 200 – 400 IU หรือ 5 – 10 mcg.
  • ทารกที่ดื่มนมแม่ควรได้รับวิตามินดี 200 IU ต่อวัน นอกเสียจากว่าหย่านมแล้ว และเปลี่ยนมาดื่มนมสูตรเสริมวิตามินดีอย่างน้อย 500 ซีซีต่อวันแล้ว และสำหรับเด็กที่ดื่มนมขวดสูตรเสริมวิตามินดี แต่ปริมาณไม่ถึง 500 ซีซีต่อวัน ก็ควรรับประทานวิตามินดีเสริมเช่นกัน
  • วิตามินดีในรูปแบบของอาหารเสริม มักวางจำหน่ายในรูปแบบ เม็ดหรือแคปซูล มีขนาดประมาณ 400 IU ซึ่งดัดแปลงมาจากน้ำมันตับปลา โดยขนาดที่รับประทานกันโดยทั่วไปคือ 400 – 1,000 IU
  • ผู้ที่อยู่อาศัยในเมือใหญ่ โดยเฉพาะในบริเวณที่มลพิษหมอกควันหนาแน่น ควรได้รับวิตามินดีเพิ่มมากขึ้น
  • ประโยชน์ของวิตามินดีผู้ที่ทำงานกลางคืนและไม่ค่อยตากแดด ควรรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
  • หากคุณรับประทานยากันชัก คุณควรต้องรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
  • คนผิวเข้มที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีแดดน้อย ควรรับประทานวิตามินดีเพิ่ม
  • หากคุณอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป หรือมีน้ำหนักตัวเกิน คุณมีความเสี่ยงต่อการมีวิตามินดีในร่างกายต่ำ
  • เด็กและวัยรุ่นที่ไม่ได้ดื่มนมที่มีวิตามินดี อย่างน้อย 500 ซีซีต่อวัน ควรรับประทานอาหารอื่นที่มีวิตามินดีสูง หรือรับประทานวิตามินรวมที่มีวิตามินดีรวมอยู่ด้วยอย่างน้อย 200 IU
  • อย่าให้สุนัขหรือแมวรับประทานวิตามินดีเป็นอาหารเสริม ยกเว้นว่าสัตวแพทย์เป็นผู้แนะนำในบางกรณี
  • วิตามินดีจะทำงานร่วมกับวิตามินเอ วิตามินซี โคลีน แคลเซียม ฟอสฟอรัสได้ดีที่สุด
  • ผลเสียของการรับประทานวิตามินดีเกินขนาด หากรับประทานในปริมาณมากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หรือประมาณ 20,000 IU ต่อวัน อาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ หรือหากรับประทานมากกว่า 1,800 IU ต่อวัน อาจทำให้เกิดภาวะวิตามินดีเกินในเด็ก สำหรับอาการอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าในร่างกายมีวิตามินดีมากเกินไป เช่น กระหายน้ำมากผิดปกติ เจ็บตา คันตามผิวหนัง อาเจียน ท้องร่วง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ มีหินปูนแคคลเซียมสะสมที่ผนังหลอดเลือด ตับ ไต ปอด กระเพาะอาหารอย่างผิดปกติ


เรียบเรียง นายเหมันต์ แช่มสอาด
แหล่งที่มา
http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5/

http://www.siamhealth.net/public_html/Health/good_health_living/vitamin_and_mineral/vitd.html#.V42lFbiLTIU

http://health.kapook.com/view89098.html

http://stronglife.in.th/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5

http://www.siamchemi.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5/


Vitamin C

Vitamin C

วิตามินซี คืออะไร?
วิตามินซี (Vitamin C) หรือ กรดแอสคอร์บิก เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง และละลายได้ในน้ำ ซึ่งร่างกายของคนเรานั้นไม่สามารถสร้างเองได้ จึงจำเป็นต้องรับจากภายนอก ด้วยอาหารที่รับประทานอย่างเช่น ผักและผลไม้ นอกจากนี้แล้วยังสามารถรับวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายด้วย วิตามินซีจากอาหารเสริมได้เช่นกัน

ปัจจุบันมีสาวๆ ที่รักสวยรักงาม หลายๆ คนนิยมหันมารับประทานวิตามินซี หรืออาหารเสริมอื่นๆ มากขึ้น เพื่อความสวยความงาม บางคนถึงขนาดลงทุนฉีดวิตามินก็มีเพราะอยากมีผิวสวยใส ถึงแม้วิตามินซีจะมีอยู่ผักผลไม้หลายชนิดก็ตามแต่สำหรับคนที่ไม่ชอบรับทานผักผลไม้บางชนิดซึ่งมีวิตามินซีสูงจึงหันมากินวิตามินซีที่มีขายอยู่ทั่วไป จนอาจจะทำให้มองข้ามความปลอดภัยจากการรับประทานวิตามินซีมากเกินไป วันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับประโยชน์ของวิตามินซี และ โทษของวิตามินซี    

วิตามิน       

ประโยชน์ของวิตามินซี 
- มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อทุกส่วนในร่างกายไม่ว่าจะเป็นเนื้อเยื่อของผิวหนัง เส้นเอ็น เส้นเลือด ซึ่งวิตามินซีนั้นจะช่วยให้อวัยวะเหล่านี้ไม่เปราะ ยืดหยุ่น และแข็งแรง
- ช่วยรักษาแผลเป็น และแผลต่างๆให้หายเร็วขึ้น เช่น แผลสด แผลไฟไม้
- สามารถช่วยชลอความเสื่อมของร่างกาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นตัวสร้างคอลลาเจน
- มีสารต่อต้านโรคภูมิแพ้ สามารถบรรเทาอาการหอบหืดให้ดีขึ้นได้ บรรเทาอาการแพ้
- หากทานวิตามินซีร่วมกับ กรดแพนโทเธนิค (Pantothenic Acid) จะช่วยป้องกันอาการปวดไมเกรนได้
- ช่วยป้องกันและรักษา เลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด หรือแม้กระทั่งสามารถป้องกันหวัดได้
- ลดการอักเสบจากการติดเชื้อ
- หากรับประทานวิตามินซีร่วมกับวิตามินอี จะช่วยลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังเส้นเลือดได้
- ป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ

โทษของวิตามินซี

- ถึงแม้วิตามินซีเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถเก็บกักไว้ใช้งานได้และหากได้รับวิตามินซีมากเกินไปก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะก็ตาม แต่หากรับประทานวิตามินซีจำนวนมากติดต่อกันหลายวัน ก็อาจจะทำให้มีอาการท้องเสีย กระเพาะอาหารระคายเคืองได้
- หากร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณมากจนเกินไป อาจนำไปสู่โรคเกาต์ได้ เนื่องจากวิตามินซีทำหน้าที่เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการดูดซึมธาตุเหล็กตามข้อกระดูก
- มีอัตราความเสี่ยงเป็นโรคนิ่วในไตมากขึ้น


ทานวิตามินซีเสริมดีไหม?

          โดยปกติคนอายุ 15 ปีขึ้นไป ควรได้รับวิตามินซี 60-90 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนเด็กต้องการวิตามินซี 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ก็สามารถทานเพิ่มได้ถึงราว ๆ 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน 

          แต่ในบางคนอาจจำเป็นต้องรับอาหารเสริมวิตามินซีเพิ่มมากหน่อย คือตั้งแต่ 500 มิลลิกรัมขึ้นไป อย่างเช่น คนที่เป็นหวัดบ่อย ๆ, คนที่มีอาการเลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด แพทย์จะให้ทานวิตามินซีเสริม รวมทั้งผู้ที่สูบบุหรี่ก็จำเป็นต้องทาน เพราะบุหรี่จะไปลดปริมาณวิตามินซีในร่างกาย เช่นเดียวกับหญิงตั้งครรภ์ คนที่เตรียมตัวผ่าตัด หรือเพิ่งฟื้นตัวจากการผ่าตัด ก็ควรได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากขึ้น

ผลวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวิตามินซี
         นักวิทยาศาสตร์ทำการค้นคว้าและพบว่า วิตามินซีช่วยป้องกันไม่ให้คอลลาเจนที่มีความอ่อนแอ และไวต่อความเสียหาย อีกทั้งยังช่วยตรวจสอบโครงสร้างของคอลลาเจนในผิวให้มีสสุขภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลา วิตามินซี กินตอนไหน ก็ตาม จะยังสามรารถช่วยในการรักษาบาดแผล การศึกษาพบว่า เมื่อให้ผู้ป่วยที่บาดเจ็บการการเผาไหม้ทานวิตามินซี ในปริมาณที่สูง จะสามารถช่วยซึมผ่านเส้นเลือดฝอยนำเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงในบริเวณที่ถูกเผาไหม้ และยังช่วยขับของเสียจากผิวบริเวณนั้นออกมาอีกด้วย
         ในการศึกษาว่าวิตามินซี กินตอนไหนถึงจะดีพบว่า การทานวิตามินซีปริม
าณ 2000 มิลลิกรัม พบว่า วิตามินซี กินตอนไหน ก็ได้ในหนึ่งวันจะช่วยเพิ่มความต้านทานต่อการถูกแดดเผามากขึ้นถึง 20 % และในระยะเวลา 8 วัน หลังการทานวิตามินซี โอกาสการเกิดผิวอักเสย และเสียหายจากการถูกแดดเผาจะลดน้อยลง

การทานวิตามินซีอย่างถูกต้อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
         จากข้อมูลในเบื้องต้นน่าจะทำให้หลายๆคนทราบถึงประสิทธิภาพของวิตามินซีกันไปบ้างแล้ว ซึ่งวคำถามที่ว่า 
วิตามินซี กินตอนไหน ถึงจะมีประสิทธิภาพดีที่สุดนั้น ในความเป็นจริงแล้ว วิตามินซีสามารถที่จะทานตอนไหนก็ได้ แต่ควรทานเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน อีกทั้งยังควรเลือกวิตามินซี ที่มีปริมาณมากเพียงพอในการบำรุงผิวพรรณ นั้นก็คืออย่างน้อยวันละ 1000 - 2000 มิลลิกรัม ขึ้นไป นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมประเภทวิตามินซีวางจำหน่ายให้เลือกสรรในท้องตลาดอยู่เป็นจำนวนมากทีเดียว แต่อย่าลืมเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณมิลลิกรัมสูงๆ และควรเป็นตามินซีจากธรรมชาติ เพื่อให้ประสิทธิภาพของ วิตามินบำรุงผิว ดีที่สุด

                                                                                                                    

เรียบเรียง นายเหมันต์ แช่มสอาด

ที่มา 
http://www.thaibodycare.com/benefits-of-vitamin-c.html

https://www.ovolva.com/%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99-%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94/a5.html

http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5/

http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5/

http://health.kapook.com/view110140.html